
โลกโซเชียลมีประกาศตามหาคนหายผ่านมาให้เราเห็นแทบทุกวัน เพราะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการกระจายข่าวได้รวดเร็ว อย่างกรณีล่าสุด ชาวเน็ตและบรรดาคนดังต่างรวมพลังกันเเชร์ภาพสเก็ตช์ของน้องจีจี้ เด็กหญิงที่หายตัวไปเมื่อ 5 ปีที่เเล้ว ขณะที่เธอยังอายุเพียง 9 ปี เท่ากับว่าตอนนี้เธอจะมีอายุ 14 ปี และอาจมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ซึ่งทุกวันนี้ทางครอบครัวก็ยังคงตามหาตัวน้องจีจี้อยู่อย่างไม่ย่อท้อ
นอกจากนี้ ยังมีกรณีชาวเน็ตช่วยกันโพสต์ตามหาเด็กหญิงวัย 13 ปี ที่หายตัวไประหว่างโดยสารรถไฟจากสุราษฎร์ธานีไปกรุงเทพฯ จนนำไปสู่การจับกุมลูกจ้างการรถไฟในคดีฆ่าข่มขืน เป็นอีกหนึ่งคดีที่สร้างความสะเทือนใจแก่สังคมไทยเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ยังมีกรณีชาวเน็ตช่วยกันโพสต์ตามหาเด็กหญิงวัย 13 ปี ที่หายตัวไประหว่างโดยสารรถไฟจากสุราษฎร์ธานีไปกรุงเทพฯ จนนำไปสู่การจับกุมลูกจ้างการรถไฟในคดีฆ่าข่มขืน เป็นอีกหนึ่งคดีที่สร้างความสะเทือนใจแก่สังคมไทยเป็นอย่างมาก
การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการช่วยตามหาคนหาย มีกรณีที่สามารถตามหาจนพบเช่นกัน เมื่อครอบครัวหนึ่งในจังหวัดเลย ได้แชร์ข้อความให้ช่วยตามหาเด็กชายวัย 7 ปี ที่ถูกอดีตพระซึ่งเป็นคนคุ้นเคยกันลักพาตัวไปจากโรงเรียน โลกโซเชียลจึงช่วยกระหน่ำกระจายข่าวตามหาจนกระทั่งได้รับเเจ้งเบาะเเส เเละสามารถช่วยเด็กชายให้กลับมาสู่อ้อมอกพ่อแม่ได้อย่างปลอดภัย
ทีมข่าว สายตรวจโซเชียล ไทยรัฐออนไลน์ ได้ไปสอบถามนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งได้เปิดเผยว่าทุกวันนี้ยอดการเเชร์ข้อมูลคนหายบนโลกโซเชียลเริ่มลดน้อยลง เพราะภาพประกาศคนหายกลายเป็นภาพที่ชินตาบนโลกออนไลน์ไปแล้ว และหลายคนมักคิดว่าการที่ข้อมูลถูกแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียของมูลนิธิ เท่ากับมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้การช่วยเหลือแล้ว ทว่าการจะตามหาคนหายจนพบได้นั้น ยังต้องประกอบด้วยปัจจัยอีกหลายอย่าง ทั้งสื่ออื่นๆ รวมถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
เเม้การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเเชร์ข้อมูลในการตามหาคนหายในปัจจุบัน อาจกลายเป็นเรื่องชินตาสำหรับใครหลายคน ทว่าหากไม่มีการช่วยกระจายข่าวผ่านโลกโซเชียล โอกาสที่จะกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจก็จะลดน้อยลงเช่นกัน ดังนั้น แม้เพียง 1 เเชร์ 1 พลังจากชาวเน็ต ก็สามารถเพิ่มโอกาสให้พวกเขาได้พบหน้าครอบครัวอีกครั้ง
ชื่นชอบข่าวนี้ อยากแชร์ต่อให้เพื่อนๆ